Trans Fat ไขมันชั่วถึงก้นบึ้งหัวใจ

เมษายน 30, 2019 / อาหาร

กำลังเป็นกระแสดังมาก กับ “ไขมันทรานส์” หรือ “Trans Fat”  ที่กระทรวงสาธารณสุขของไทยเพิ่งสั่งห้ามใส่ในอาหารทุกชนิดไปหมาดๆ และกำหนดเส้นตายให้ผู้ประกอบการเอาออกจากสูตรอาหารภายใน 6 เดือน

สำหรับเพื่อนๆที่ยังงงว่ามันคืออะไร อยู่ในอะไรบ้าง ทุกวันนี้เรากินมันมั้ย วันนี้ผมจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังครับ

Trans Fat เป็นใครมาจากไหน ทำไมมันถึงถูกเรียกว่า “อาหารที่ไม่ใช่อาหารของมนุษย์” จากกระทรวงอาหารและยาสหรัฐอเมริกา(U.S. FDA) และทำไมผมถึงตื่นเต้นที่ในที่สุดประเทศไทยก็ตระหนักถึงเรื่องนี้สักที หลังจากอเมริกาและอีกหลายประเทศประกาศห้ามจำหน่ายไปแล้วตั้งแต่ปี 2015

เพื่อให้อ่านง่าย โพสนี้จะไม่ลงลึกทางวิชาการมากนักนะครับ ส่วนถ้าใครอยากจะหาอ่านอย่างละเอียด ทักแชตมาแล้วกันนะ เดี๋ยวส่งลิงค์ให้

เอาล่ะมาเริ่มกัน.. เตรียมป๊อปคอร์นแบบใช้เนยแท้กับน้ำผักสกัดเย็น แล้วนั่งวงล้อมกันเข้ามา เพราะนานแน่นอน 5555

 ทะเวนตี้เซนจูรี่แฟต ขอเสนอ “Attack of the Trans” มหาสงครามทรานส์ล้างเผ่าพันธุ์ ผ่าม ผ่ามม..

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ณ ดาวโลก มีเผ่าพันธุ์ไขมันอยู่อย่างสงบสุข 3 เผ่าด้วยกัน

เผ่าแรก มีชื่อว่า เผ่า “อิ่มตัว” หรือชื่ออังกฤษเก๋ๆ ว่า “Saturated Fatty Acid”

เผ่านี้มีความสามารถพิเศษครับ คือพวกเค้าจะสามารถแข็งตัวได้ในอุณหภูมิห้อง ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพวกเค้ามีมากใน เนื้อสัตว์, ไขมันสัตว์, นม, เนย, น้ำมันมะพร้าว ให้นึกถึงไขมันที่เป็นก้อนแข็งๆน่ะ เป็นเผ่าที่มีกลิ่นตัวหอม อายุยืน รสชาติอร่อยโฮก

เผ่า “อิ่มตัว” เคยถูกมองว่าเป็นตัวร้ายมาก่อน จำได้มั้ย ตอนเด็กๆเราเคยได้ยินว่า น้ำมันหมู อันตราย ทำให้เป็นไขมันอุดตัน เป็นโรคหัวใจนะ ห้ามกิน

นั่นเป็นความรู้เก่านะครับ ใครบอกอย่างนั้นในยุคนี้ ตีมือเลยนะครับ! ตอนนี้พิสูจน์แล้วครับ ว่าไม่เป็นจริงเสมอไป

นักวิทยาศาสตร์เค้าพิสูจน์แล้วว่า “เผ่าอิ่มตัว” ไม่ได้ร้ายอย่างนั้น จริงๆพวกเค้าเป็นฝ่ายดีด้วยซ้ำ มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ เมื่อก่อนแค่ซวยถูกเข้าใจผิดไปเฉยๆ [1,2]

เผ่าที่สอง มีชื่อว่า เผ่า “Monounsaturated Fatty Acid” หรือเรียกง่ายๆว่าเผ่า “ไม่อิ่มตัวเดี่ยว”

เผ่านี้ความสามารถคือแปลงร่างเป็นของเหลวได้ในอุณหภูมิห้อง และสามารถแข็งตัวได้เมื่ออากาศเย็นขึ้น เผ่านี้ตามตำราความสามารถเทพมาก มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์สุดๆ เพราะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคความดันและหัวใจ แถมยังช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน(Type 2) อีกด้วย

ถิ่นกำเนิดของเผ่านี้มีมากใน น้ำมันมะกอก, น้ำมันคาโนลา, น้ำมันงา, อะโวกาโด และพวกตระกูลถั่วต่างๆ ครับ

แต่ซุปเปอร์แมนยังแพ้คริปโตไนต์ ถึงจะเทพขนาดนี้ เผ่า “ไม่อิ่มตัวเดี่ยว” ก็มีจุดอ่อนเช่นกัน

จุดอ่อนของพวกเค้านั่นก็คือ พวกเค้าไม่ถูกกับความร้อนสูงครับ ถ้าเค้าโดนความร้อนจะสติแตกเปลี่ยนเป็นพิษ เหมือนตอนพี่ซุปฟื้นแล้วจำใครไม่ได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อมนุษย์ทันที และเค้ามีชีวิตที่สั้นกว่าเผ่าแรก “อิ่มตัว” มาก นั่นคือเค้าจะเกิดการบูดเหม็นหืนได้เร็วเมื่อตั้งทิ้งไว้

..

ส่วนเผ่าสุดท้ายเผ่าที่สาม จริงๆเป็นญาติกับเผ่าที่สอง เราเรียกเค้าว่า เผ่า “Polyunsaturated Fatty Acid” หรือเรียกง่ายๆว่าเผ่า “ไม่อิ่มตัวซ้อน”

เผ่านี้ก็เป็นของเหลวในอุณหภูมิห้องเช่นกัน แต่ถิ่นกำเนิดของเผ่านี้อยู่คนละที่ครับ เผ่านี้จะอาศัยอยู่มากในน้ำมันจากผัก ปลาทะเล เช่น น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง ปลาแซลมอน

แม้จะเป็นญาติกัน มีประโยชน์ต่อมนุษย์เหมือนกัน แต่ข้อเสียของเผ่านี้คือเค้าไม่ค่อยเสถียร อ่อนไหวต่อออกซิเจนมาก ทำให้เหม็นหืนได้ง่ายกว่า อายุสั้นกว่าเผ่าที่สองอีกด้วยซ้ำ

แต่ความเจ๋งของเผ่านี้อยู่ตรงนี้ครับ เผ่านี้มีของขวัญพิเศษให้เราด้วย เป็นสิ่งที่ร่างกายพวกเราผลิตเองไม่ได้ นั่นคือกรดไขมันสองตัวที่เราเรียกกันว่า omega-3 และ omega-6

กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้สองตัวนี้ ช่วยเรื่องควบคุมไตรกลีเซอไรด์, เรื่องความดัน และเรื่องอินซูลิน ดังนั้นเผ่าที่สามก็จำเป็นกับมนุษย์เรามากๆเช่นกัน

..

..

เผ่าไขมันทั้ง 3 เผ่า “อิ่มตัว” , “ไม่อิ่มตัวเดี่ยว” , “ไม่อิ่มตัวซ้อน” อยู่ร่วมกันกับมนุษย์อย่างมีความสุขมาเป็นเวลาช้านานหลายหมื่นปี  จนกระทั่งวันหนึ่ง..

โลกมนุษย์เข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มไม่ได้ทำอาหารกินเองอยู่บ้านคนเดียวละ ตอนนี้มนุษย์ต้องการผลิตอาหารจากโรงงาน เพื่อเลี้ยงคนเป็นล้านๆคน

ตอนนั้นเอง มนุษย์ก็ได้ประสบปัญหาว่า เจ้าไขมันจากสัตว์ เผ่าที่หนึ่ง “อิ่มตัว” ที่เราใช้กันมานมนานเนี่ย มันอร่อย เก็บได้นานก็จริง แต่มันก็มีข้อเสียอยู่ คือมันแพงฉิบเป๋ง แถมการจะได้มาก็ยุ่งยาก

ตอนที่ทำกินเองมันก็โอเคอยู่หรอก แต่พอจะเปิดโรงงานทำขายนี่สิ มันไม่สะดวกเอาเสียเลยแฮะ

พอจะใช้เจ้าพวกไขมันเผ่าที่สองกับสาม ซึ่งถูกและหาง่ายกว่า แต่พวกมันก็ดันตายง่ายเสียอีก กว่าของจะออกจากโรงงานขนส่งถึงมือลูกค้า ก็เหม็นหืนกันหมดพอดี

เอ.. แล้วจะเป็นไปได้มั้ยนะ ถ้าเราจะใช้เจ้าพวกเผ่าที่สองหรือสามแทน แต่หาวิธีให้เก็บมันได้นานๆโดยไม่หืนเสียก่อนแทน

แน่นอนครับ ไม่มีอะไรเกินความพยายามของมนุษย์.. สุดท้าย ก็มีคนคิดวิธีขึ้นมาได้จริงๆ

ในปี 1901 คุณ Wilhelm Normann นักเคมีชาวเยอรมันได้ค้นพบว่า ถ้าใส่ไฮโดรเจนเข้าไปในไขมันเผ่าที่สาม “เผ่าไม่อิ่มตัวซ้อน” จะทำให้มันมีคุณสมบัติเปลี่ยนไป

หลังจากที่เจ้าเผ่าสาม “ไม่อิ่มตัวซ้อน” ถูกดัดแปลง มันจะกลายพันธุ์เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมา

..

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งยุคเผ่าพันธุ์ที่สี่ Trans Fatty Acid หรือเราเรียกพวกเค้าว่า “เผ่าพันธุ์ทรานส์” ตึง ตึ่ง ตึง!! (มิวสิคเปิดตัวบอสแบบดาร์ท เวเดอร์)

เผ่า “ทรานส์” ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่นี้ มันเทพมากครับ

เพราะมันเล่นรวมข้อดีของไขมันทุกชนิดมาไว้ด้วยกัน อย่างกะดาร์เวเดอร์ เอาวิชาเจได และ ศาสตร์มืดมารวมกันยังไงยังงั้นเลย

“ไขมัน ทรานส์ “ กำเนิดจากส่วนหนึ่งของการเอาเผ่า “ไม่อิ่มตัวซ้อน” มาเติมไฮโดรเจนลงไป จนกลายเป็นพันธุ์ใหม่ ซึ่งตอนนี้มันไม่เหม็นหืนง่ายๆเหมือนเผ่า “ไม่อิ่มตัวซ้อน” แล้วครับ

“ทรานส์” มีอายุยืนยาว มันสามารถอยู่ได้นานมากโดยไม่เหม็นหืน และที่สำคัญคือราคาถูกและหาง่ายกว่าเผ่า “อิ่มตัว” ที่ได้จากสัตว์ ที่ใช้กันดั้งเดิม มากมายครับ (เพราะเป็นการเอาไขมันพืชซึ่งราคาถูกมาเติมไฮโดรเจน)

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทรานซ์ ก็เริ่มเนื้อหอมในวงการอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ..

ที่ดังที่สุดคือพวกเค้าถูกทำเป็น มาการีน หรือ เนยเทียม ซึ่งแข็งตัวในอุณหภูมิห้อง ไม่เหม็นหืนง่ายๆ จึงถูกใช้ในอุตสาหกรรมเบเกอรี่อย่างกว้างขวาง และค่อยๆแทนที่รุ่นพี่เผ่าดั้งเดิมทั้งสามเผ่าจนหมดสิ้น

ในช่วงปี 1960 ทางอเมริกาก็ได้แทนที่ไขมันจากสัตว์ (เผ่าอิ่มตัว) ด้วย ไขมันสังเคราะห์แบบเติมไฮโดรเจน (เผ่าทรานส์) จนเกือบหมดทั้งประเทศ

ยัง ยังไม่พอ.. ช่วงปี 1980 มีงานวิจัยชื่อดังฉบับหนึ่งออกมาบอกว่า “ไขมันสัตว์” หรือเจ้าเผ่าอิ่มตัว ส่งผลต่อคลอเรสเตอรอลของมนุษย์ที่เพิ่มขึ้น และเป็นสาเหตุของโรคความดัน โรคหัวใจ (ซึ่งปัจจุบันนี้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริงทั้งหมด)

ทีนี้ก็ยุ่งเลยสิครับ ผู้คนก็กลัวเจ้า “อิ่มตัว” กันยกใหญ่ ร้านรวงทุกที่รวมถึง McDonald ก็จัดการเปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ทอดเฟรนฟรายจากไขมันสัตว์เป็นน้ำมันพืช(แบบเติมไฮโดรเจน) กันจนหมดเลย

..

..

เหตุการณ์ดำเนินผ่านไปกว่า 20 ปี หลังจากรัฐปล่อยให้ผู้คนทั้งอเมริกาเสพไขมันทรานส์จนอกแตกตายกันเป็นที่พอใจแล้ว เมื่อไม่นานมานี้เองครับ.. ในช่วงปี 1990 ก็เริ่มมีงานวิจัยหลายงาน เริ่มเห็นผลความสัมพันธ์ของผู้ที่บริโภคไขมันแบบเติมไฮโดรเจน ซึ่งมีเจ้า “ทรานส์” แอบแฝง กับโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

ผู้คนเริ่มเอะใจกับ “ทรานส์” กันมากขึ้นเรื่อยๆ และในปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่ใหม่ขึ้น เราได้ข้อสรุปแล้วครับ

สรุปว่าไอ่ที่ผ่านมา 40 กว่าปี เราชี้ผิดตัว!!

จริงๆแล้วเจ้า “ทรานส์” ต่างหาก เป็นบอสตัวสุดท้ายที่บงการทุกอย่าง และทำให้คนอเมริกันกว่า 20,000 คนต่อปี คนตายจากโรคหัวใจ ไม่ใช่เจ้าไขมันอิ่มตัว

โรคที่เสี่ยงจากไขมันทรานส์มีอื่นๆด้วยครับ ที่สำคัญๆก็เช่น โรคอ้วน โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันสูง ไขมันอุดตัน แถมอาจยังทำให้เกิดภาวะอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

หลังจากนั้นก็มีงานวิจัยสนับสนุนถึงผลร้ายของเจ้า “ทรานซ์” ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในปัจจุบัน ค่อนข้างเป็นที่แน่นอนแล้วว่า มันไปเพิ่ม LDL และลด HDL ของร่างกาย ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคต่างๆข้างต้นได้จริง คนก็เลยเชื่อแล้วว่ามันไม่ดีจริงๆ

เดี๋ยวนะ LDL กับ HDL คืออะไร?? เพิ่มแล้วลดแล้วมันยังไง? ขออธิบายง่ายๆประมาณนี้

LDL กับ HDL เป็นลิโปโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ลำเลียงคอลเลสเตอรอลเข้าไปในเส้นเลือดของเราเพื่อเอาไปใช้งานตามส่วนต่างๆของร่างกาย

ให้นึกถึงว่า เส้นเลือด คือ ถนน

คลอเรสเตอรอล คือ ผู้โดยสาร

LDL และ HDL ก็จะคือรถยนต์ ทำหน้าที่ลำเลียงผู้โดยสาร(คลอเรสเตอรอล) ไปยังจุดหมายต่างๆ

ทีนี้ LDL และ HDL ต่างกันอย่างไร?

ทั้งคู่เป็นรถเหมือนกันก็จริง แต่มีหน้าที่ต่างกัน คือ LDL เป็นรถโดยสาร(ที่บางครั้งผู้โดยสารก็ทิ้งขยะลงบนถนน) ส่วน HDL เป็นรถเก็บขยะ

ถ้ามีรถที่ทิ้งขยะลงถนนมากๆ ถนนก็จะสกปรกถูกไหมครับ เช่นเดียวกัน LDL ที่ระหว่างเดินทางส่งผู้โดยสาร มันสามารถทิ้งตะกอนไขมันไว้ในเส้นเลือดได้ครับ ดังนั้น ถ้าร่างกายเรามี LDL มากๆ เส้นเลือดก็อาจมีตะกอนไขมันกองอยู่มาก และถ้ามีเยอะจนเกินไปก็เกิดเป็นไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้

แต่ไม่ต้องห่วงครับ ร่างกายของเราก็มีระบบเทศบาลประจำตัว นั่นคือ HDL นั่นเอง HDL เปรียบเสมือนรถเก็บขยะ หน้าที่มันคือเก็บเศษตะกอนไขมันที่ LDL ทิ้งไว้ไปทิ้งครับ

ถ้า HDL มีน้อยมันก็เก็บขยะไม่ทันคนทิ้ง ถนนก็อุดตัน แต่ถ้า HDL มีมากๆ ถนนหรือเส้นเลือดก็จะสะอาด เพราะขยะถูกเก็บไปทิ้งจนหมด มาถึงตรงนี้เก็ตนะครับ

(จริงๆเรื่อง LDL และ HDL กับบรรดาคลอเรสเตอรอลทั้งหลาย ก็เป็นมหากาพย์ที่สนุกอีกอันนึงเช่นกัน ไว้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังในโอกาสต่อๆไป)

ตอนนี้สรุปได้ง่ายๆว่า มนุษย์เราไม่ควรมี LDL มากเกินไป และควรมี HDL ให้เยอะเข้าไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการมีไขมันอุดตันในเส้นเลือด ซึ่งจะส่งผลถึงโรคหัวใจและความดันได้ [7,8,9]

ทีนี้กลับมาที่เจ้าทรานส์กันต่อ ว่ามันเกี่ยวกับ LDL และ HDL ยังไง

สิ่งที่ “ทรานส์” ทำก็คือ ไปรณรงค์ให้คนขับรถทิ้งขยะลงบนถนนมากขึ้น(เพิ่ม LDL) และยังไม่พอ ยังไปขัดขวางไม่ให้รถเก็บขยะออกทำงานอีก (ลด HDL)

ทีนี้ถนนก็สกปรกเป็นทวีคูณสิครับ!! เพราะคนทิ้งเยอะขึ้น คนเก็บน้อยลง!!

พอประชาชนรู้อย่างนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่เลยครับ รัฐบาลในหลายๆประเทศก็ตระหนักถึงอันตรายของทรานส์กันมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปี 2015 FDA ของสหรัฐได้สั่ง “แบน” หรือห้าม อุตสาหกรรมอาหารทั่วประเทศ ไม่ให้ใส่เจ้า “ทรานส์” ลงไปในอาหารอีกแล้ว และให้มีผลบังคับใช้ใน 3 ปี

นั่นหมายความว่า ให้เวลาผู้ผลิต 3 ปีในการคิดสูตรใหม่ และเมื่อถึงปี 2018 ผลิตภัณฑ์อาหารทุกอย่างที่ขายในอเมริกาควรจะต้องปราศจาคไขมันทรานส์ทั้งหมด!!

และหลังจากรณรงค์กันมานาน ในวันที่ 13 กรกฏาคม 2018 กระทรวงสาธารณสุขของไทย ก็ได้สั่งแบนไขมันทรานส์แล้วเช่นกัน โดยโหดกว่าอเมริกาอี๊ก เพราะให้เวลาผู้ผลิตเปลี่ยนสูตรแค่ 180 วันจ้า 55+

และในที่สุด ทรานส์ก็ถูกกำจัดจนหมดไป เป็นอันจบมหากาพย์สงครามทรานส์เพียงเท่านี้

..

..

ถึงตรงนี้ผมขอถามคุณผู้อ่านตรงนี้หน่อย คุณคิดว่า โรงงานและผลิตภัณฑ์ต่างๆจะเปลี่ยนได้ทันไหม? และที่สำคัญ “เค้าจะเปลี่ยนหรือเปล่า?”

ผมก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบเท่าไร เพราะ This is ประเทศไทย 55+ เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า เราควรพยายามเลี่ยงกันเอาเองก่อน อย่าเพิ่งคาดหวังว่าผู้ผลิตเค้าจะเลี่ยงให้เราเลยครับ เรามาเริ่มที่ตัวเองก่อนกันดีกว่า

.. เราจึงต้องมาดูกัน ว่าอาหารอะไรมั่งล่ะที่เราจะมีโอกาสเจอเจ้า “ทรานส์” เนี่ย

อย่าเพิ่งตกใจนะครับ จริงๆมันก็มีแค่

  • เบเกอรี่จากโรงงานใหญ่ๆ
  • ขนมขบเคี้ยว
  • เค้ก
  • โดนัท
  • นมข้นหวาน
  • มาการีน
  • ครีมเทียม
  • แคร็กเกอร์
  • วิปครีม
  • อาหารทอดต่างๆเช่น นักเก็ต, ไก่ทอด, หมูทอด
  • อาหารสำเร็จรูปจากโรงงาน และ Processed Food ต่างๆ

เดี๋ยวนะ..นี่มันแทบทุกอย่างเลยนี่หว่า แสรดดดดด

จะว่างั้นก็ได้ครับ 55+ ก็คือเอาง่ายๆว่า อะไรที่มาจากโรงงาน, ราคาถูก, เป็น mass product, เก็บได้นานๆ แล้วมีน้ำมันเป็นส่วนผสม มันมี “แนวโน้ม” ที่จะมีทรานส์ทั้งนั้นแหละครับ

ก็เพราะเหตุผลที่บอกไปบนนู้นไง เนื่องจากน้ำมันแบบเติมไฮโดรเจนที่มีทรานส์มันราคาถูกมาก แถมเก็บได้นาน เอาใส่อะไรก็ไม่หืน เอาทาอะไรก็สีสวยไม่ละลาย มันเลยเป็นส่วนผสมหลักของ ผลิตภัณฑ์จากโรงงานหลายๆชนิด ที่เค้าต้องการ shelf life นานๆและต้นทุนถูกๆไงครับ

ดังนั้นก่อนจะซื้ออะไร โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ ขนม เบเกอรี่ ชีส ควรพลิกดูฉลากด้านหลังก่อนเสมอ (แต่ควรระวังเช่นกัน เพราะจุดทศนิยมในฉลากจะปัดลง ดังนั้นถ้ามี trans fat อยู่ 0.4g เค้าสามารถเขียนในฉลากให้เป็น 0g ได้)

อ่าว อะไรฟระ.. นั่นแหละครับ เชื่อฉลากก็อาจไม่ถูกทั้งหมด ดังนั้นให้ชัวร์ที่สุด เลือกอาหารที่ผ่านการ process มาน้อยที่สุดเอาเองครับ

ส่วนใหญ่อาหารจากธรรมชาติจะไม่มีไขมันทรานส์ (ถ้ามีก็จะเป็นแบบไม่อันตราย) ดังนั้นยิ่งเราเลือกวัตถุดิบที่ผ่านกระบวนการน้อยสุด เรายิ่งมีโอกาสเจอเจ้าทรานส์น้อยเท่านั้น

และอีกข้อคือให้เลือกแบรนด์ที่เราเชื่อใจได้ว่าเค้าใช้วัตถุดิบที่ดี ใช้เนยแท้ ใช้น้ำมันดีจริงๆ

ยิ่งพวกแบรนด์ Local ที่เราเห็นทุกกระบวนการแบบนี้เจ๋งเลย เพราะเรามั่นใจที่สุดแล้วครับ แถมเป็นการส่งเสริมธุรกิจท้องถิ่นไปในตัวด้วย

ก็ฝากกันไว้นะครับ กับเจ้าไขมันทรานส์ตัวนี้ ที่หลายๆคนถามผมมาว่ามันคืออะไร หวังว่าวันนี้จะพอเก็ตไอเดียมากขึ้นกันนะครับ ตรงไหนอธิบายข้ามไปหรือไม่เคลียร์ ก็ถามมาในคอมเม้นได้นะ เพราะย่อไปเยอะมาก แค่นี้ก็โคตรยาวละ 55

สรุปสั้นๆว่า ถ้าเลือกได้ ทานไขมันเผ่าที่สอง “ไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนดีที่สุด” ส่วนเผ่าที่หนึ่งกับสามก็ทานได้ ไม่มีปัญหา แต่ที่ควรระวังให้มากคือ ไขมันเผ่ากลายพันธุ์หรือ “ทรานส์” ซึ่งมักแฝงมาในอาหารที่ต้อง processed หรือผ่านกระบวนการมาเยอะๆ เพื่อให้มันไม่บูด ไม่เน่าเสีย และลดต้นทุน

U.S. FDA บอกว่าไขมันทรานส์ แค่รับมากกว่า 1% ของแคลอรี่รวมทั้งวันก็เป็นอันตรายแล้ว นั่นหมายถึงในผู้ใหญ่ทั่วไปที่ต้องการพลังงานวันละ 2,000 แคลอรี่ จะกินไขมันทรานส์ได้แค่ 2กรัม!

ดังนั้นหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดดีที่สุดครับ ยังไงเย็นนี้จะกินอะไรก็อย่าลืมพลิกฉลากมาดูกันด้วยนะครับ

คลังเก็บ

หมวดหมู่